⦿ ทุกๆ วันจะมีหญิงไทย 24 คน ได้รับการวินิจฉัย ว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกและ มักเป็นในผู้หญิงวัยทำงาน อายุ 35-44 ปี
⦿ เกือบ 100% ของมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส HPV มะเร็งปากมดลูกจึงเป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันได้ โดยการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ร่วมกับการตรวจคัดกรองหาเชื้ออย่างสม่ำเสมอ
⦿ การมีแฟนเพียงคนเดียว ก็มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัส HPV ได้ เนื่องจากเชื้อไวรัส HPV สามารถติดต่อได้ง่าย 80% ของคนทั่วไปเคยได้รับเชื้อมาก่อน โดยไม่มีอาการใดๆ จึงอาจเป็นไปได้ที่เป็นแฟนของคุณจะเคยได้รับเชื้อ HPV มาก่อน
เชื้อไวรัส HPV คืออะไร
Human Papilloma Virus (HPV) เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่สามารถก่อให้เกิดโรคได้ในหลายส่วนของร่างกาย ไวรัสชนิดนี้มีมากกว่า 100 สายพันธุ์ โดยจัดแบ่งออกเป็น สายพันธุ์ความเสี่ยงสูงที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ได้แก่สายพันธุ์ 16,18, 31, 33, 35, 45, 52, 58 และสายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ ที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ ได้แก่สายพันธุ์ 6,11 เป็นต้น
ไวรัสชนิดนี้สามารถก่อโรคได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในอวัยวะต่างๆ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งอวัยวะเพศชาย มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปากและลำคอ
เมื่อติดเชื้อไวรัส HPV เชื้อจะสามารถซ่อนตัวอยู่ได้นานนับ 10 ปีโดยไม่แสดงอาการใดๆ ดังนั้น เชื้ออาจแพร่สู่ผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว โดยส่วนใหญ่จะแสดงอาการต่างๆ เมื่อเป็นระยะลุกลามแล้ว อีกทั้งยังพบว่า เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะกำจัดเชื้อได้น้อยลง ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อ HPV อย่างถาวร ซึ่งจะยิ่งเพิ่มโอกาสพัฒนาเป็นโรคมะเร็งได้มากยิ่งขึ้น
การป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV
เชื้อไวรัส HPV สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน ปัจจุบันในประเทศไทย มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV 3 ชนิด ได้แก่
1. ชนิด 2 สายพันธุ์ (ชื่อทางการค้า CERVARIX) ความเสี่ยงสูงที่ก่อให้เกิดมะเร็ง 16,18
2. ชนิด 4 สายพันธุ์ (ชื่อทางการค้า GARDASIL) ความเสี่ยงสูงที่ก่อให้เกิดมะเร็ง 16,18 และความเสี่ยงต่ำที่ก่อให้เกิดมะเร็ง 6, 11 (หูดหงอนไก่)
3. ชนิดใหม่ 9 สายพันธุ์ (ชื่อทางการค้า GARDASIL 9) ความเสี่ยงสูงที่ก่อให้เกิดมะเร็ง 16, 18, 31, 33, 45, 52, 58 (เพิ่ม 5 สายพันธุ์) และความเสี่ยงต่ำที่ก่อให้เกิดมะเร็ง 6, 11 (หูดหงอนไก่)
ทำไมต้องฉีดวัคซีน HPV ชนิด 9 สายพันธุ์
การที่วัคซีน HPV 9 สายพันธุ์ สามารถครอบคลุมสายพันธุ์ที่เพิ่มมากขึ้น เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่อาจเคยได้รับเชื้อ HPV บางสายพันธุ์มาแล้ว สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์อื่นๆ การฉีดวัคซีน HPV 9 สายพันธุ์ ในผู้หญิง และ ผู้ชาย อายุ 9-45 ปี จะช่วยป้องกันโรคได้ดังนี้
⦿ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งช่องปากและลำคอ เชื้อ HPV สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรค 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58
⦿ การเกิดรอยโรคก่อนเป็นมะเร็ง (Precancerous lesion) ของมะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งช่องคลอด และมะเร็งทวารหนัก เชื้อ HPV สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรค 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58
⦿ หูดหงอนไก่ เชื้อ HPV สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรค 6 และ 11
จากการศึกษาสาเหตุของการเกิดโรค และมะเร็งจากเชื้อไวรัส HPV ต่างๆ ทั่วโลก พบว่าประสิทธิภาพของวัคซีน HPV ชนิด 9 สายพันธุ์ สามารถครอบคลุมสาเหตุของการเกิดโรคและมะเร็งปากมดลูก (Coverage Cervical Cancer ) ได้ถึง 90% มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดรอยโรคก่อนเกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากช่องคลอด และมะเร็งผนังช่องคลอด ที่เกิดจากเชื้อ HPV 31, 33, 45, 52, 58 ได้ถึง 97% ในกรณีที่ไม่เคยได้รับเชื้อไวรัส HPV มาก่อน
คำแนะนำสำหรับการฉีดวัคซีน HPV 9
เด็กวัยรุ่น หญิงและชายอายุ 9-14 ปี
ฉีด 2 เข็ม ที่ 0, 6-12 เดือน เป็นช่วงวัยที่ได้รับประโยชน์สูงสุดของการฉีดวัคซีน HPV และ การฉีดวัคซีนก่อนอายุ 15 ปี จะฉีดเพียง 2 เข็มเท่านั้นจึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้ว
ผู้ชาย อายุ 16-26 ปี และผู้หญิง อายุ 16-45 ปี
ฉีด 3 เข็ม ที่ 0, 1-2 เดือน, 6 เดือน ตามลำดับ โดยแนะนำให้ฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 1 เดือน ฉีดเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 อย่างน้อย 3 เดือน และห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 5 เดือน ทั้งนี้ ควรได้รับวัคซีนให้ครบ 3 เข็มภายในระยะเวลา 1 ปี
คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับเชื้อไวรัส HPV และการฉีดวัคซีน
Q : ถ้ามีแฟนเพียงคนเดียว มีโอกาสติดเชื้อไวรัส HPV หรือไม่
A : มีความเสี่ยง เนื่องจากเชื้อ HPV สามารถติดต่อได้ง่าย 80% ของคนทั่วไปเคยได้รับเชื้อมาก่อน โดยไม่มีอาการใดๆ จึงอาจเป็นไปได้ที่เป็นแฟนของคุณจะเคยได้รับเชื้อ HPV มาก่อนแล้ว
Q : เคยได้รับเชื้อไวรัส HPV มาแล้ว วัคซีนยังคงมีประโยชน์หรือไม่
A : มีประโยชน์ โดยวัคซีนจะป้องกันติดเชื้อ HPV ในสายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่เคยติดมาก่อน และป้องกันการได้รับเชื้อซ้ำในกรณีที่เคยได้รับเชื้อ HPV และหายแล้ว เนื่องจากภูมิจากวัคซีนจะมีระดับที่สูงกว่าภูมิโดยธรรมชาติ และจากการศึกษายังพบว่าการฉีดวัคซีนในผู้ที่เคยได้รับการรักษารอยโรคผิดปกติที่ปากมดลูก จะช่วยลดโอกาสในการกลับมาเป็นซ้ำได้
Q : จำเป็นต้องตรวจภายในก่อนรับวัคซีนหรือไม่
A : ไม่จำเป็น หรือหากต้องตรวจภายในพอดีก็อาจรับวัคซีนวันเดียวกับที่ตรวจภายในได้ทันที เนื่องจากยังคงแนะนำให้ได้รับวัคซีน แม้ว่าผลตรวจภายในจะผิดปกติ หรือตรวจพบเชื้อ HPV แล้วก็ตาม
Q : การฉีดวัคซีน HPV ป้องกันโรคได้นานแค่ไหน
A : จากการศึกษาวิจัย พบว่า วัคซีนยังคงให้ผลการป้องกันที่ยาวนานกว่า 10 ปี ดังนั้น ปัจจุบันจึงยังไม่มีคำแนะนำในการฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำ
Q : วัคซีนสามารถให้ในสตรีตั้งครรภ์ ได้หรือไม่
A : ควรหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนในช่วงตั้งครรภ์ เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาที่เพียงพอและการควบคุมที่ดีในสตรีตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ถ้าได้รับวัคซีนไปแล้ว หลังคลอดก็สามารถฉีดวัคซีนต่อได้ โดยไม่จำเป็นต้องเริ่มใหม่
Q : วัคซีนสามารถให้ในสตรีให้นมบุตรได้หรือไม่
A : วัคซีนสามารถให้ในสตรีให้นมบุตรได้
Q : หากฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกแบบ 2 สายพันธุ์ หรือ 4 สายพันธุ์ครบ 3 เข็มแล้ว จำเป็นต้องฉีด แบบ 9 สายพันธุ์ เพิ่มหรือไม่
A : ในกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีน 2 และ 4 สายพันธุ์ครบคอร์สแล้ว แนะนำให้เว้นระยะอย่างน้อย 1 ปี แล้วจึงเริ่มฉีดวัคซีน 9 สายพันธุ์ใหม่ให้ครบคอร์ส (หากเคยฉีดแบบ 4 สายพันธุ์ จะได้รับประโยชน์ในส่วนของการครอบคลุมสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกโดยประมาณ 20%) อย่างไรก็ตาม ควรรับคำแนะนำจากแพทย์ถึงความเหมาะสมและความจำเป็นในการฉีดวัคซีนนี้
บทความจาก >> โรงพยาบาลสมิติเวช